Last Updated on 25 November 2021
เรื่องราวที่นำเสนอเป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณ
เรื่องผี เรื่องเล่าสยองขวัญ – ความรู้สึกตอนกลับบ้านเก่า
การทำความเข้าใจถึงประสบการณ์ใกล้ตาย เป็นเรื่องที่ยากเหมือนกับ การตอบคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่คนได้ตายไปแล้ว เหตุการณ์ต่างๆ ที่มาจากปากของผู้คน ที่เคยประสบอยู่ในสถานการณ์ใกล้ตาย อาทิ แสงสีขาวสว่างที่ปลายอุโมงค์ยาว การได้พบกับญาติที่เสียไปแล้ว หรือในบางครั้งอาจเป็นการพบกันอีกครั้งของสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รัก อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เหนือธรรมชาติเช่นนั้น ได้ถูกบอกเล่าในลักษณะคล้ายกันเกือบทั่วโลก ไม่ว่าจะเชื้อชาติใด ศาสนาใด แล้วประสบการณ์ใกล้ตายคืออะไรกันล่ะ
ประสบการณ์ใกล้ตาย (near-death experience) เป็นเหตุการณ์ทางจิตวิทยาที่ลึกซึ้ง พร้อมด้วยองค์ประกอบที่ลึกลับ โดยทั่วไปแล้วจะเกิดขึ้นในคนที่ใกล้ตาย หรืออยู่ในสถานการณ์ที่มีความเจ็บปวดทางร่างกาย หรืออารมณ์อย่างรุนแรง แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้หลังจากเกิดอาการหัวใจวาย การบาดเจ็บที่สมอง หรือแม้แต่ในระหว่างการทำสมาธิ และเป็นลมหมดสติ (อาการหมดสติเนื่องด้วยความดันโลหิตลดลง)
ปรากฏการณ์เรื่องคนตายและฟื้นคืนชีวิตกลับมาเล่านั้น มีในทุกๆ วัฒนธรรม ทุกชนชาติ ดังนั้นไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าขานหรือตำนานแต่อย่างใด
“ชั้นเห็นภูมิประเทศที่สวยงาม สีสันที่สวยสุดจับใจ ความรัก ความสงบในจิตใจ ไม่มีความเจ็บปวด ความรักแบบไร้เงื่อนไข เห็นอุโมงค์ เห็นลำแสง ความรู้สึกเบาสบาย ได้เจอคนที่จากไป ได้ยินเสียงเพลง เห็นญาติมิตร เห็นและได้ยินเสียงที่หมอกำลังทำ ชั้นกำลังล่องลอยอยู่เหนือร่างชั้นเอง”
เหล่านี้คือคำพูดและประสบการณ์ส่วนใหญ่ของคนพบประสบการณ์ใกล้ตาย
เพราะยังไม่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดมาอธิบายประสบการณ์ใกล้ตาย และประสบการณ์วิญญาณออกจากร่าง แต่ด้วยวิทยาการณ์แพทย์สมัยใหม่ที่ยื้อชีวิตได้มากขึ้น ก็มีคนที่มาเล่าประสบการณ์ได้มากขึ้นด้วย วิทยาศาสตร์การแพทย์ได้มีความพยายามอย่างมากในการอธิบายเรื่องนี้ มีการจัดตั้งองกรณ์อย่าง IANDS หรือสมาคที่ศึกษาเรื่องใกล้ตาย หรือ NDERF ที่ได้รวบรวม และบันทึกเรื่องราวประสบการณ์ใกล้ตาย และประสบการณ์วิญญาณออกจากร่างมากกว่า 1,000 กรณี จากทั่วโลก ปรากฏว่า มีเรื่องราวคล้ายๆ กันอย่างแปลกประหลาดที่สุด
ในประเทศไทยก็มีเรื่องทำนองนี้เช่นกัน คุณหัชชา ณ บางช้าง เคยค้นคว้าเรื่องนี้มาเขียนใน “ภาวะหลังตาย” และเล่าว่า “กระบวนการตาย” ในระยะต่าง ๆ นั้นเป็นเช่นไร ท่านบอกว่ามันมี 4 ขั้นตอน ดังนี้
- ระยะแรก เป็นระยะที่ธาตุดินเริ่มสลายตัว กลายเป็นน้ำ ผู้ตายจะรู้สึกอ่อนระโหย ไม่มีแรง การมองเห็นต่าง ๆ เริ่มเสื่อม มองอะไรก็ไม่ชัด ทุกอย่างดูมัวไปหมด ทุกอย่างที่เห็น เหมือนมองไปกลางถนน ขณะแดดจัดๆ ภาพต่างๆ จะเต้นระยิบระยับเต็มไปหมด
- ระยะที่สอง น้ำจะกลายเป็นไฟ ช่วงนั้น น้ำในร่างกายเริ่มแห้งลง จะรู้สึก ชาๆ ตื้อๆ เริ่มหมดความรู้สึก ไล่จากปลายเท้าขึ้นมา ประสาทหูเริ่มไม่รับรู้คือเริ่มไม่ได้ยินเสียงอะไร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ควัน
- ระยะที่สาม ระยะนี้ไฟเปลี่ยนเป็นลม หูจะไม่ได้ยินอะไรอีกเลย รู้สึกหนาวจับใจ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ หยุดหมด ลมหายใจอ่อนลงเรื่อยๆ จมูกเริ่มไม่รับความรู้สึกเรื่องกลิ่น
- ระยะที่สี่ ระยะนี้ ธาตุลมจะเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุ ตอนนี้ เจตสิกทุกอย่าง รวมทั้งการหายใจ จะหยุดหมด พลังงานทั้งหลายที่เคยไหลเวียนอยู่ในร่างกาย จะไหลกลับคืนไปสู่ ระบบประสาทส่วนกลางหมด ลิ้นแข็ง ไม่รับรู้เรื่องรสชาติใดๆ ความรู้สึกสัมผัสหมดไป ความรู้สึกอยากโน่นอยากนี่ต่าง ๆ ที่เคยมีก็หมดไป มีความรู้สึกเหมือนอยู่กับแสงเทียนที่กำลังลุกโพลงอยู่เท่านั้น
ท่านบอกว่าตอนนี้แหละ ที่แพทย์จะประกาศว่า ผู้ป่วยในความดูแล “ถึงแก่กรรม” แล้ว (clinical death) นั่นก็คือจุดที่ “เวทนา” ทั้งหมดดับไป สมองและระบบไหลเวียนต่างๆ ของร่างกายหยุดทำงานหมด
ในปี 2001 วารสารทางการแพทย์ชื่อดัง The Lancet ได้มีการตีพิมพ์บทความเรื่องประสบการณ์ใกล้ตายของผู้มีภาวะหัวใจวาย ทำให้วงการแทย์ตื่นเต้นกันอย่างมาก เพราะยังไม่มีการศึกษาเรื่องลักษณะนี้ กับคนที่แพทย์ได้ระบุว่าเสียชีวิตแล้วแต่กลับฟื้นขึ้นมา มาก่อน
เรื่องนี้ เป็นเรื่องของแอนนิต้า มูจานี่ (Anita Moorjani) ในเดือนเมษายนปี 2002 เธอคลำเจอก้อนเนื้อที่ต้นคอ และหมอตรวจพบว่า เธอเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบบแพร่กระจายเร็ว ช่วงหลายปีแม้เธอจะพยายามรักษา แต่อาการกลับทรุดหนักลง มะเร็งเริ่มลุกลามกระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว เธอเริ่มมีแผลเปิดบนผิวหนัง เนื้องอกที่ใหญ่เท่าลูกมะนาว จากต้นคอจนถึงช่วงล่างของท้อง
กุมภาพันธ์ปี 2006 สี่ปีหลังจากพบมะเร็ง เอนิต้า ก็ไม่ตื่นอีก ทีมแพทย์ประกาศว่าเป็นช่วงสุดท้ายของเธอ และอวัยวะก็เริ่มหยุดทำงาน หมอบอกกับสามีของเธอว่า เธอจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้ เช้านั้นการรับออกซิเจนของเธอค่อยๆ ลดลงจนถึงระดับอันตราย สามีของเธอได้แต่เพียงนั่งมองเธอจากไปอย่างสงบ และในช่วงวิกฤตตอนนี้ ก็เป็นช่วงที่คนไข้มักจะพบประสบการณ์ใกล้ตาย
แอนนิต้าเล่าว่า ขณะนั้นความกลัวมันหายไปจากจิตใจหมด ไม่กลัวมะเร็งเหมือนช่วงที่ผ่านมา เธอได้ยินเสียงหมอที่คุยกับสามีของเธอ ซึ่งแย่มาก เธอเห็นน้องชายที่นั่งบนเครื่องบินจะมาหาให้ทันก่อนเธอตาย ตอนนั้นเธอสุขสงบอย่างมาก จนรู้สึกตัวเบา ส่วนความเจ็บปวดที่เคยมี มันก็หายไปหมดทุกอย่าง สวยงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต มันเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกรักแบบไร้เงื่อนไข เพราะว่าเธอกำลังจะจากไป เธอเห็นพ่อที่จากไปหลายสิบปีก่อน เจอเพื่อนสนิทที่เสียชีวิตไปแล้ว และรู้สึกถึงความรักจากบุคคลทั้งสองเหมือนเดิม
สุดท้าย แอนนิต้าก็มีความรู้สึกว่า จะต้องตัดสินใจว่าจะกลับเข้าร่างเดิม หรือไปยังดินแดนใหม่ เธอเล่าว่าไม่อยากกลับไปเลย ในขณะอีกฝั่งมีแต่ดินแดนที่สวยงาม แต่อีกฝั่งนึงมีแต่ความเจ็บปวด ป่วยไข้ทรมาน ไม่มีเหตุผลที่จะกลับไปเลย แต่เธอคิดว่า ครอบครัวของเธอ ก็จะพลอยทรมานไปด้วย แต่ขณะนั้นเธอรู้ดีว่า ถ้าเธอกลับเข้าร่าง ร่างกายก็จะรักษาตัวเองได้แบบรวดเร็วมาก
เมื่อเธอฟื้นขึ้น เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องจริง เพียง 5 สัปดาห์หลังจากฟื้น เธอก็ออกจากโรงพยาบาลได้ แม้ร่างกายจะยังเจ็บปวดจากการพักฟื้น การตัดชิ้นเนื้อ และรับยาหลายตัว แต่ข้างในรู้สึกสบายมาก มะเร็งหายไป 70% อย่างรวดเร็วจนหมอแปลกใจ จากนั้นชีวิตเธอก็เปลี่ยนไปตลอดกาล ได้รู้จักรักคนอื่น ทำความดีมากขึ้น ช่วยเหลืออย่างไม่หวังผลตอบแทน แอนนิต้ารู้ว่า การตายของร่างกายไม่ใช่จุดจบของจิตวิญญาณ เพราะประสบการณ์นั้น ทำให้รู้ว่าอาจจะยังอยู่ต่อได้ แม้ว่าชีวิตจะดับสูญไปแล้ว
แต่ใช่ว่าผู้มีประสบการณ์ใกล้ตาย จะเจอเรื่องราวที่ สุข สงบ สวยงามเสมอไป ราว 15% ของผู้ที่กลับมา เล่าว่า เจอประสบการณ์น่ากลัว ตอนอยู่ในห้องที่มืดมิด บางครั้งพวกเค้าอาจต้องสยองสุดขีด เมื่อพบว่าตัวเองกำลังถูกดึงลงสู่ความมืดมิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ความรู้สึกในแง่บวกหมดไป ก่อนที่ความรู้สึกผิดจะตามมา มันทั้งมืด และก็น่ากลัว ก่อนที่พวกเคัา จะเห็นไฟดวงเล็กๆ ที่เหมือนจะดึงดูดให้เข้าไปหา ส่วนใหญ่จะเห็นว่าเป็นอุโมงค์ เมื่อเข้าไปจะเจอห้องที่น่ากลัว ในสภาพเลวร้ายที่เหมือนกับนรก และหลังจากกลับออกมา ก็จะรู้สึกผิด และเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง
ส่วนประกอบสำคัญอย่างนึงของประสบการณ์ใกล้ตายคือ ประสบการณ์วิญญาณออกจากร่าง โดยเริ่มจาก รู้สึกว่าจิตสำนึกกำลังออกจากร่างไปพร้อมความกลัว ตามด้วยความพยายามจะกลับคืนเข้าร่าง แต่บางคนจะรู้สึกอิสระและทึ่งกับภาพร่างไร้วิญญาณ
มุมมองที่ธรรมดามากคือ มองลงมาจากเพดาน และเค้าจะเริ่มรับรู้ถึงร่างกายที่ไร้น้ำหนัก สามารถแทรกผ่านโครงสร้างที่แข็งๆ ทะลุกำแพงไปได้ แต่ไม่สามารถสื่อสารกับคนที่ยังไม่ตายได้ พวกนี้ทึ่งมาก กับการไปไหนโดยไม่มีใครเห็น แต่เจ้าตัวเห็นและได้ยินทุกอย่าง ประสบการณ์วิญญาณออกจากร่าง มีความสำคัญทางวิทยาศาสตร์ เพราะหมอและญาติๆ สามารถยืนยันความถูกต้องของประสบการณ์ใกล้ตายได้ เรื่องน่าสนใจประสบการณ์วิญญาณออกจากร่างคือ กรณีที่คนเจอประสบการณ์ใกล้ตาย เป็นคนตาบอดมาตั้งแต่กำเนิด สามารถมองเห็นได้ และคนที่หูหนวกมาแต่กำเนิดกลับได้ยินเสียง สามารถมองเห็นและได้ยิน ได้สัมผัสประสบการณ์วิญญาณออกจากร่าง และใกล้ตายได้อย่างชัดเจน
ในปี 1951 วิกกี้คลอดก่อนกำหนด และเป็นเหตุให้ลูกตาและปราสาทตาเสียหาย และตาบอดแต่กำเนิด เรื่องประสบการณ์ใกล้ตายของวิกกี้ เป็นที่ถกเถียงของบุคคลทั่วไปและนักวิจัย เธอถูกช่วยออกมาจากอุบัติเหตุร้ายแรงทางรถยนต์ในปี 1973 ในสภาพมีกะโหลกแตกหลายจุด พร้อมแผลฉกรรจ์ และอยู่ในอาการโคมา ซึ่งเป็นช่วงที่เธอพบกับประสบการณ์ใกล้ตาย
แต่ตอนนั้น วิกกี้ได้พบกับตัวเองที่กำลังนอนโคม่าอยู่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ในห้องฉุกเฉินเธอมองตัวเองจากความสูงเหนือร่าง เธอตกใจมาก เพราะภาพเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่คุ้นเคย และไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิต แต่เธอก็รู้ได้ว่า ภาพที่อยู่ข้างใต้นั้นเป็นตัวเธอ มองเห็นผมของเธอ แหวนที่พ่อให้ ที่เธอเคยรับรู้จากการสัมผัสเท่านั้น และนั่นก็เป็นหนึ่งในรายละเอียดของเรื่องประสบการณ์ใกล้ตายของเธอ
คนตาบอดที่ไม่เคยเห็นภาพในความฝัน สามารถเห็นภาพตัวเองลอยเหนือร่างเป็นครั้งแรก ส่วนคนหูหนวก ก็จะได้ยินเสียงคนพูดเป็นการส่งต่อความคิดก่อนการได้ยิน รวมถึงรู้สึกถึงความนึกคิด และความรู้สึกโดยปราศจากคำพูดใดๆ ของคนรองข้างในขณะนั้น นั่นอาจเป็นหลักฐานว่า ประสบการณ์วิญญาณออกจากร่าง และประสบการณ์ใกล้ตายนั้น อาจจะเป็นเรื่องจริง
ขอขอบคุณ Youtube.com , คุณหัชชา ณ บางช้าง “ภาวะหลังตาย”
📌หมายเหตุ📌
– พี่ราตรีอาจมีการเปลี่ยนแปลงบางคำพูดหรือสำนวน เพื่อให้ง่ายต่อการเล่าเรื่องราว และฟังลื่นหูนะคะ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ 🙏
🔻🔻ติดตามพี่ราตรี🔻🔻
– Youtube: https://tiny.cc/mongkond
– Facebook: https://facebook.com/mongkondTH/
– Twitter: https://twitter.com/MongkondTH
– Website: https://mongkond.com